🧾 บทคัดย่อ (Abstract)
การบริหารจัดการปฏิทินการจองห้องพักถือเป็นหัวใจหลักของการดำเนินงานในธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท บทความนี้ศึกษาและวิเคราะห์วิวัฒนาการของระบบการจองห้องพักผ่าน 4 ยุคสำคัญ ตั้งแต่การจดบันทึกด้วยสมุดปกอ่อน (ยุคที่ 1) การใช้ Excel และไฟล์คอมพิวเตอร์ (ยุคที่ 2) การใช้ระบบซอฟต์แวร์ภายในเครื่อง (PMS แบบติดตั้งภายใน – ยุคที่ 3) ไปจนถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ Cloud และการเข้าถึงผ่านมือถือหรือแท็บเล็ต (ยุคที่ 4) ซึ่งถือเป็นมาตรฐานใหม่ของการบริหารโรงแรมในปัจจุบัน
บทความนี้มุ่งเน้นการเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียในแต่ละยุค และแนะนำระบบ Polystay PMS ซึ่งเป็นโซลูชันยุคใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กถึงขนาดกลาง (SMEs) โดยเฉพาะ ด้วยการใช้งานผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ รองรับการจองแบบเรียลไทม์ ป้องกันการจองซ้ำ และเชื่อมต่อกับช่องทางขายออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งอ้างอิงจากงานวิจัย รายงานอุตสาหกรรม และกรณีศึกษาทั่วโลก เพื่อให้บทความนี้สามารถใช้เป็นแนวทางเชิงวิชาการในการพัฒนาระบบบริหารห้องพักและยกระดับประสบการณ์ของผู้เข้าพักได้อย่างยั่งยืน
🎯 บทนำ (Introduction)
ในอุตสาหกรรมการบริการ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท การบริหารจัดการการจองห้องพัก (Room Booking Management) คือกลไกหลักที่ส่งผลต่อรายได้ ประสิทธิภาพการทำงาน และความพึงพอใจของผู้เข้าพักโดยตรง การจองที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว เช่น การจองซ้ำ (Double Booking) หรือข้อมูลลูกค้าไม่ครบถ้วน อาจนำไปสู่ความเสียหายทั้งในเชิงรายได้และชื่อเสียง
แต่เดิม โรงแรมจำนวนมากเริ่มต้นด้วยระบบบันทึกด้วยมือ เช่น สมุดปฏิทิน ซึ่งเพียงพอต่อการดำเนินงานในรูปแบบเจ้าของคนเดียวดูแลกิจการ แต่เมื่อขนาดของกิจการขยาย ทีมงานเพิ่มขึ้น และช่องทางการจองมากขึ้น ระบบบันทึกแบบดั้งเดิมเริ่มแสดงข้อจำกัดที่ชัดเจน ทั้งในด้านความแม่นยำ ความสะดวก และการเข้าถึงร่วมกันของหลายคน
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เราได้เห็นวิวัฒนาการของระบบการจองห้องพักอย่างต่อเนื่อง จากสมุดบันทึก → ไฟล์ Excel → โปรแกรมจองติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์ (PMS แบบ Local) → จนถึงปัจจุบันซึ่งเป็นยุคของ PMS บนระบบ Cloud ที่เข้าถึงได้ผ่านมือถือและเว็บบราวเซอร์ บนทุกอุปกรณ์
บทความนี้จะนำเสนอแต่ละยุคอย่างเป็นระบบ พร้อมเปรียบเทียบจุดแข็งจุดอ่อน โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลนานาชาติ พร้อมเสนอระบบที่เหมาะสมกับยุคสมัยใหม่ ได้แก่ Polystay PMS ซึ่งพัฒนาโดยคำนึงถึงความต้องการของโรงแรมอิสระและธุรกิจขนาดเล็กอย่างแท้จริง
🕰️ ยุคที่ 1 – การจองด้วยสมุดบันทึกแบบเขียนมือ
ก่อนที่คอมพิวเตอร์จะเข้ามามีบทบาทในธุรกิจโรงแรม การจองห้องพักทั้งหมดจะถูกบันทึกลงในสมุด หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “สมุดจอง” โดยเจ้าของโรงแรมหรือพนักงานจะจดรายละเอียดของผู้เข้าพักลงในแต่ละวัน ซึ่งอาจประกอบด้วย:
- ชื่อผู้เข้าพัก
- เบอร์โทรศัพท์
- วันที่เข้าพัก – วันที่ออก
- หมายเลขห้อง หรือชื่อห้อง
- จำนวนคืนที่เข้าพัก
- หมายเหตุพิเศษ (ถ้ามี)
สมุดเล่มนี้มักจะเป็นแบบปกแข็ง มีเส้นตาราง และเขียนด้วยปากกาหรือดินสอโดยตรงลงบนกระดาษ แนวทางนี้เหมาะสำหรับ โรงแรมขนาดเล็กที่ดำเนินการโดยเจ้าของเอง ซึ่งอาจไม่มีพนักงานหลายคน และรับจองโดยตรงผ่านโทรศัพท์หรือการ Walk-in เท่านั้น
✅ ข้อดีของยุคที่ 1
- ต้นทุนต่ำ: ไม่ต้องลงทุนในคอมพิวเตอร์ ระบบซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ไอทีใด ๆ
- ใช้งานง่าย: เจ้าของหรือพนักงานสามารถเริ่มใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องฝึกอบรม
- การควบคุมอยู่ในมือเดียว: เหมาะกับกิจการที่เจ้าของเป็นผู้ดูแลเองทั้งหมด เช่น โทรศัพท์รับจองก็รับเอง สมุดก็จดเอง เช็กอินก็ทำเอง จึงไม่มีปัญหาเรื่องการประสานงาน
❌ ข้อจำกัดและปัญหา
อย่างไรก็ตาม เมื่อกิจการเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือมีพนักงานมากกว่าหนึ่งคน การใช้สมุดบันทึกเดียวกันในการจองห้องพักเริ่มกลายเป็นปัญหา:
- ไม่สามารถใช้ร่วมกันแบบเรียลไทม์: หากมีพนักงานมากกว่าหนึ่งคน ทุกคนต้องใช้สมุดเล่มเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าต้องอยู่ในที่เดียวกัน หรือรอคิวเพื่อเขียนข้อมูล
- เสี่ยงต่อการจองซ้ำ: หากพนักงานสองคนรับจองพร้อมกันโดยไม่รู้ว่ามีใครเขียนอะไรไปก่อน อาจเกิดการจองซ้ำในห้องเดียวกันได้ (Double Booking)
- ข้อมูลสูญหายง่าย: หากสมุดหาย ถูกฉีก ถูกน้ำหก หรือถูกไฟไหม้ จะไม่สามารถกู้คืนข้อมูลได้เลย
- ค้นหาข้อมูลย้อนหลังลำบาก: หากต้องการรู้ว่ายอดเข้าพักในเดือนที่ผ่านมาเป็นเท่าไหร่ ต้องเปิดหาทีละหน้า และนับด้วยมือ
- ไม่มีระบบการสรุปรายงานหรือสถิติ: ไม่สามารถสร้างกราฟหรือรายงานการเข้าพักประจำเดือนได้ ยกเว้นการทำด้วยมือทั้งหมด
- ไม่เหมาะกับการขยายกิจการ: หากมีการเพิ่มห้องพัก เพิ่มพนักงาน หรือขายห้องผ่านหลายช่องทาง เช่น OTA, Line, Facebook – สมุดไม่สามารถรองรับข้อมูลและความเร็วที่ต้องการได้
🔍 ตัวอย่างจริง
โรงแรมเล็กจำนวนมากในประเทศไทย โดยเฉพาะในต่างจังหวัด หรือในรูปแบบโฮมสเตย์ ยังคงใช้ระบบสมุดบันทึกในปัจจุบัน เพราะเจ้าของสามารถควบคุมทุกอย่างได้เอง ไม่จำเป็นต้องลงทุนกับเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตาม การสำรวจจากมหาวิทยาลัยด้านการท่องเที่ยวในเยอรมนี ร่วมกับบริษัท Apaleo ระบุว่า กว่า 40% ของโรงแรมขนาดเล็กในยุโรปยังใช้การจองแบบ manual อยู่ และผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า “ควรเลิกใช้ระบบจดด้วยมือ และปรับสู่ระบบดิจิทัล” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความผิดพลาดในระยะยาว
“Gone are the days of recording reservations with pen and paper – or at least, they should be gone.”
— InnRoad, Hotel Technology Insights, 2023
📌 บทสรุปของยุคที่ 1
ระบบสมุดบันทึกแบบเขียนมือ เหมาะสำหรับ:
- ธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กมาก (เช่น 1–5 ห้อง)
- ดำเนินการโดยเจ้าของคนเดียว
- ไม่ขายผ่านช่องทางออนไลน์หรือ OTA
แต่ไม่เหมาะสำหรับ:
- โรงแรมที่มีพนักงานหลายคน
- โรงแรมที่ต้องการระบบรายงานหรือการวิเคราะห์ข้อมูล
- โรงแรมที่มีแผนเติบโตหรือขยายห้องพัก
- โรงแรมที่ต้องการตอบคำถามลูกค้าแบบรวดเร็ว เช่น “พรุ่งนี้มีห้องว่างไหม?”
🧮 ยุคที่ 2 – การใช้ Microsoft Excel เพื่อจัดการข้อมูลการจอง
เมื่อเทคโนโลยีเริ่มเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปลายยุค 1990 ถึงต้น 2000 โรงแรมหลายแห่งเริ่มนำคอมพิวเตอร์มาใช้งานมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการจัดการการจองห้องพักผ่านโปรแกรม Microsoft Excel หรือโปรแกรมตารางคำนวณอื่น ๆ เช่น Google Sheets, LibreOffice Calc
การใช้ Excel นับเป็น “ก้าวแรกสู่ระบบดิจิทัล” ของหลายโรงแรม โดยเฉพาะกิจการขนาดเล็กถึงกลางที่ยังไม่พร้อมลงทุนกับระบบซอฟต์แวร์เต็มรูปแบบ (PMS)
🛠 รูปแบบการใช้งาน
โรงแรมจะสร้างไฟล์ Excel ซึ่งแต่ละแถวแทน “วันเข้าพัก” และแต่ละคอลัมน์แทน “หมายเลขห้อง” แล้วพนักงานจะกรอกชื่อผู้เข้าพัก เบอร์โทร หรือหมายเหตุไว้ในช่องที่ตรงกับห้องและวันที่นั้น ๆ เช่น:
วันที่ | ห้อง 101 | ห้อง 102 | ห้อง 103 |
---|---|---|---|
1 ก.ค. | นายสมชาย | ว่าง | ว่าง |
2 ก.ค. | นายสมชาย | น.ส.วิไล | ว่าง |
หรือในรูปแบบตารางรายชื่อ พร้อมระบุห้องพักและช่วงวันที่แยกต่างหาก:
ชื่อผู้เข้าพัก | เบอร์โทร | เช็คอิน | เช็คเอาต์ | ห้องพัก |
---|---|---|---|---|
นายสมชาย | 089-xxx-xxxx | 1 ก.ค. | 3 ก.ค. | 101 |
✅ ข้อดีของการใช้ Excel
- เริ่มต้นได้ฟรี: โปรแกรม Excel มักมาพร้อมกับระบบ Windows หรือสามารถใช้ Google Sheets ฟรีได้
- อ่านง่ายและเป็นระเบียบมากกว่าสมุด: ตัวเลข ช่องข้อมูล สามารถเรียงข้อมูลใหม่ตามต้องการ เช่น เรียงตามวันที่, ชื่อ, เบอร์โทร
- คำนวณอัตโนมัติ: สามารถใช้สูตรเพื่อคำนวณรายได้ รวมคืนเข้าพัก หรือสรุปยอดต่อเดือน
- สร้างรายงานได้: สามารถสร้าง Pivot Table หรือกราฟเพื่อดูแนวโน้มการเข้าพัก
- สำรองข้อมูลได้: ไฟล์สามารถบันทึกเก็บไว้, ส่งอีเมล, หรือเก็บไว้บน Flash Drive ได้
❌ ข้อจำกัดของการใช้ Excel
แม้จะมีความก้าวหน้าเมื่อเทียบกับสมุดจองแบบมือ แต่ Excel ยังมีข้อจำกัดหลายประการ โดยเฉพาะเมื่อโรงแรมเริ่มมีหลายพนักงาน ช่องทางจองหลากหลาย หรือยอดจองต่อวันสูงขึ้น
- ไม่มีระบบกันการจองซ้ำ (Double Booking): Excel ไม่สามารถ “ล็อกห้อง” ได้แบบเรียลไทม์ พนักงาน A และ B อาจเผลอกรอกข้อมูลลงในห้องเดียวกันโดยไม่รู้
- ใช้พร้อมกันหลายคนไม่ได้: ถ้าไม่มีระบบ Cloud หรือ Network Share ทุกคนต้องรอเปิดไฟล์ทีละคน หรือเสี่ยง overwrite ไฟล์กัน
- ไม่สามารถเชื่อมต่อช่องทางการขาย: เช่น ถ้าขายห้องผ่าน OTA อย่าง Agoda, Booking.com ต้องมานั่งกรอกเอง ไม่มีการเชื่อมระบบ
- เกิดข้อผิดพลาดง่าย: หากเผลอลบเซลล์ผิด ใช้สูตรผิด หรือ copy/paste ผิดจุด อาจทำให้ข้อมูลหายหรือสับสน
- ไม่มีระบบแจ้งเตือน: ไม่มีระบบเตือนวันเช็คอิน เช็คเอาต์ หรือสิ่งที่ต้องทำแต่ละวัน
- ความปลอดภัยต่ำ: ไม่มีระบบรหัสผ่านแบบผู้ใช้หลายระดับ (User Role) ใครเปิดไฟล์ก็สามารถแก้ไขข้อมูลได้
- การสำรองข้อมูลไม่อัตโนมัติ: ถ้าไม่เซฟหรือ backup เอง อาจสูญหายได้เมื่อเครื่องมีปัญหา
📉 ตัวอย่างเหตุการณ์ปัญหาจาก Excel
- โรงแรมขนาด 15 ห้อง ใช้ Excel กรอกข้อมูลลูกค้าจาก OTA + โทรศัพท์ + Facebook
- พนักงานกะเช้ากรอกไว้ แต่ไม่ได้กด Save ทิ้งไว้ให้พนักงานกะบ่ายดู
- พนักงานกะบ่ายรับลูกค้า walk-in แล้วลงข้อมูลทับ → ผล: ลูกค้า 2 ราย ได้ห้องเดียวกันในวันเดียวกัน = Double Booking → เสียความเชื่อมั่น + เสียลูกค้า + ลดคะแนนรีวิว
🔍 ข้อมูลสนับสนุนจากต่างประเทศ
- Preno Hotel Software (2023) รายงานว่าโรงแรมที่ยังใช้ Excel พบข้อผิดพลาดบ่อย เช่น ลบข้อมูลผิดพลาด กรอกข้อมูลซ้ำ และเสียเวลาในการค้นหา
- Slope (2020) ชี้ว่า “Excel ไม่สามารถบริหารโรงแรมได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว เพราะไม่มีระบบเตือน ไม่มีความปลอดภัย และใช้หลายคนพร้อมกันไม่ได้”
- Apaleo (2025) เปิดเผยว่า โรงแรมจำนวนมากยังใช้ Excel เป็นระบบหลัก และกำลังเผชิญปัญหาซ้ำซาก เช่น ความล่าช้า การจองผิด และรายงานไม่อัพเดต
🧩 บทสรุปของยุคที่ 2
ระบบ Excel ถือเป็น “ทางผ่าน” ที่ดีระหว่างสมุดจองมือ และระบบ PMS เต็มรูปแบบ โดย:
- เหมาะสำหรับโรงแรมขนาดเล็กที่มีพนักงานไม่มาก
- มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์พื้นฐาน
- ยังไม่ต้องการเชื่อมต่อ OTA หรือระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ
แต่เมื่อธุรกิจเริ่มเติบโต มีพนักงานมากกว่า 1 คน มีหลายช่องทางการจอง หรือมีความต้องการดูข้อมูลแบบเรียลไทม์ Excel จะไม่สามารถตอบสนองความต้องการเหล่านั้นได้ และเสี่ยงต่อการผิดพลาดอย่างมาก
💻 ยุคที่ 3 – การใช้โปรแกรมจองห้องพักที่ติดตั้งในคอมพิวเตอร์ (PMS แบบออฟไลน์ / On-premise)
หลังจากที่โรงแรมและรีสอร์ทเริ่มเคยชินกับการใช้คอมพิวเตอร์และไฟล์ Excel แล้ว ความต้องการที่จะลดข้อผิดพลาด เพิ่มความแม่นยำ และประสิทธิภาพในการบริหารห้องพัก ก็ผลักดันให้เกิด “ยุคที่ 3” นั่นคือ การนำระบบ PMS (Property Management System) เข้ามาใช้
ระบบ PMS คือ ซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อใช้ในโรงแรมและธุรกิจที่พัก ช่วยในการบริหารจัดการการจองห้องพัก รายชื่อผู้เข้าพัก รายรับ-รายจ่าย เช็คอิน เช็คเอาต์ และงานเอกสารทางบัญชีต่าง ๆ ซึ่งในยุคแรกนั้น ระบบ PMS เหล่านี้จะถูก ติดตั้งอยู่ภายในคอมพิวเตอร์ของโรงแรมเท่านั้น (เรียกว่า On-premise PMS)
🔧 ลักษณะทั่วไปของ PMS ยุคที่ 3
- ต้อง ติดตั้งซอฟต์แวร์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่อยู่ในโรงแรม
- ใช้งานผ่านเครื่องหลัก (Server) และอาจมีหลายเครื่อง (Client) เชื่อมต่อในระบบ LAN
- ข้อมูลการจองทั้งหมดถูกจัดเก็บในเครื่องคอมพิวเตอร์ของโรงแรมโดยตรง
- หากต้องการสำรองข้อมูล ต้องทำด้วยตนเอง หรือใช้โปรแกรมเสริม
🌟 ตัวอย่างระบบ PMS ยุคนี้
- Fidelio – พัฒนาในเยอรมนี (1987) และเป็นที่นิยมในโรงแรมหลายพันแห่งทั่วโลก
- Opera PMS – พัฒนาโดย Oracle เป็นระบบที่ต่อยอดจาก Fidelio รองรับโรงแรมขนาดใหญ่
- Hotelogix (เวอร์ชันแรก) – ใช้งานในรูปแบบ Desktop ก่อนจะพัฒนาไปสู่ Cloud
หมายเหตุ: ระบบเหล่านี้ในยุคแรก ๆ ยังไม่สามารถเชื่อมต่อออนไลน์แบบเรียลไทม์ และไม่สามารถเข้าถึงจากภายนอกโรงแรมได้
✅ ข้อดีของ PMS แบบติดตั้งภายใน
- ลดข้อผิดพลาดจากการจองซ้ำ: ระบบสามารถ “ล็อกห้องพัก” ที่ถูกจองแล้ว และไม่อนุญาตให้ซ้ำซ้อน
- รองรับผู้ใช้งานหลายคนพร้อมกัน: ทำงานผ่านระบบ LAN หรือเครือข่ายในโรงแรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- มีรายงานแบบมืออาชีพ: ออกรายงานรายวัน รายเดือน รายปีได้ทันที เช่น รายได้, การเข้าพัก, สถานะห้องพัก
- มีระบบเช็คอิน/เช็คเอาต์และใบเสร็จในตัว: ทำให้การทำงานของแผนกต้อนรับมีมาตรฐานและมืออาชีพ
- จัดการประวัติลูกค้าได้: เช่น บันทึกว่าเคยเข้าพักกี่ครั้ง ชอบห้องแบบไหน จ่ายเงินช่องทางใด ฯลฯ
- เชื่อมต่อระบบภายในได้ดี: เช่น ระบบโทรศัพท์ภายใน, ระบบบัตรเข้าห้อง, ระบบบัญชี
❌ ข้อจำกัดและปัญหาของ PMS แบบออฟไลน์
- ติดตั้งและดูแลยาก: ต้องมีผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้ง อัปเดต หรือแก้ไขปัญหาซอฟต์แวร์
- ต้นทุนสูง: ระบบ PMS ที่ติดตั้งภายในมีค่าลิขสิทธิ์สูง บางระบบต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ต่อเครื่องใช้งาน และมีค่าบำรุงรักษารายปี
- เสี่ยงระบบล่ม: หากคอมพิวเตอร์หรือระบบหลักเสีย จะไม่สามารถเปิดโปรแกรมจองหรือดึงข้อมูลได้เลย 🔁 โรงแรมที่รอบคอบจะต้องมี “คอมพิวเตอร์สำรอง” และทำสำรองข้อมูลทุกวัน
- เข้าถึงได้เฉพาะภายในโรงแรม: ผู้จัดการหรือเจ้าของไม่สามารถตรวจสอบการจองจากภายนอกได้ ต้องอยู่ที่โรงแรมเท่านั้น
- เชื่อมต่อกับ OTA ยาก: PMS ยุคนี้ยังไม่มี API มาตรฐาน จึงไม่สามารถเชื่อมต่อกับ Booking.com, Agoda ได้โดยตรง ต้องอัปเดตเอง
- ไม่สามารถอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ได้บ่อย: ซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งภายในอัปเดตยาก บางโรงแรมใช้เวอร์ชันเก่าหลายปีจนไม่สามารถเชื่อมต่อระบบใหม่ ๆ ได้
- การจัดการข้อมูลต้องระวัง: เช่น การแบ็กอัปข้อมูล, การกู้คืน, การลบข้อมูลโดยไม่ได้ตั้งใจ → ต้องมีความรู้ด้าน IT
🧪 กรณีศึกษาจากโรงแรมจริง
โรงแรมขนาด 30 ห้องในกรุงเทพฯ ใช้ระบบ PMS แบบติดตั้งในคอมพิวเตอร์แผนกต้อนรับ
วันหนึ่งเครื่องหลักเสีย → ไม่สามารถเข้าถึงรายการจองได้ ต้องโทรตามช่างมาซ่อม
ระหว่างนั้นรับลูกค้าใหม่ไม่ได้ ตอบคำถามไม่ได้ เสียรายได้อย่างน้อย 20,000 บาทในวันนั้น
📊 ข้อมูลจากแหล่งอ้างอิง
- HospitalityNet (2024): โรงแรมที่ยังใช้ PMS แบบออฟไลน์มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูลสูงขึ้น และไม่สามารถแข่งขันกับโรงแรมที่ใช้ Cloud PMS ได้ในระยะยาว
- WebRezPro (2022): ระบุว่า PMS แบบติดตั้งภายในมักมี “ต้นทุนรวมสูงกว่าระบบ Cloud ในระยะยาว” และ “ต้องพึ่งพาคน IT ในทุกครั้งที่มีปัญหา”
🧩 บทสรุปของยุคที่ 3
ระบบ PMS แบบออฟไลน์ ถือเป็นก้าวกระโดดของการจัดการโรงแรมในยุคก่อน Cloud โดย:
- เหมาะสำหรับโรงแรมที่มีพนักงานหลายคน และต้องการระบบมาตรฐาน
- ใช้ในการควบคุมการจอง เช็คอิน ออกใบเสร็จ และรายงานในระบบเดียว
- เพิ่มความน่าเชื่อถือในการบริการ
แต่ก็มีข้อเสียคือ:
- ต้นทุนสูง
- ความยืดหยุ่นต่ำ
- เข้าถึงจากระยะไกลไม่ได้
- เสี่ยงระบบล่ม
ดังนั้น ในยุคที่เทคโนโลยี Cloud และการเข้าถึงข้อมูลจากมือถือมีความสำคัญสูงขึ้น โรงแรมหลายแห่งจึงเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ที่ทันสมัยกว่า นั่นคือ PMS บนระบบ Cloud หรือ ยุคที่ 4 ซึ่งจะกล่าวต่อไป
☁️ ยุคที่ 4 – ระบบจองห้องพักผ่าน Cloud และมือถือ (PMS ยุคใหม่)
เมื่อการใช้ระบบภายใน (On-premise PMS) เริ่มแสดงข้อจำกัด ทั้งเรื่องต้นทุนสูง ความเสี่ยงจากเครื่องเสีย และความไม่ยืดหยุ่นในการเข้าถึงข้อมูลจากภายนอก การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น นั่นคือการมาถึงของ PMS บนระบบ Cloud และ การเข้าถึงผ่านมือถือและแท็บเล็ต ซึ่งถือเป็นวิวัฒนาการขั้นสูงสุดของระบบจองห้องพักในยุคดิจิทัล
PMS ยุคนี้ไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ในเครื่องใด ๆ ใช้งานได้ทันทีผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือแอปมือถือ ข้อมูลทั้งหมดเก็บไว้บน Cloud (คล้ายกับการใช้งาน Google Drive, Gmail หรือ Facebook) ผู้ใช้สามารถล็อกอินเข้าระบบได้จากทุกที่ ทุกเวลา บนอุปกรณ์ใดก็ได้
📱 คุณสมบัติหลักของ PMS ยุคที่ 4
คุณสมบัติ | รายละเอียด |
---|---|
ไม่ต้องติดตั้ง | ใช้ผ่านเว็บเบราว์เซอร์ หรือแอปมือถือ |
เข้าถึงได้จากทุกที่ | ตรวจสอบ/จัดการการจองผ่านมือถือ แท็บเล็ต หรือแล็ปท็อปได้ทุกเวลา |
อัปเดตเรียลไทม์ | ห้องพักว่าง-ไม่ว่างจะอัปเดตพร้อมกันทุกอุปกรณ์ |
ข้อมูลอยู่บน Cloud | ปลอดภัย มีการสำรองอัตโนมัติ ไม่กลัวเครื่องพัง |
รองรับหลายผู้ใช้ | ผู้จัดการ/พนักงานหลายคนทำงานพร้อมกันได้ |
เชื่อมต่อ OTA ได้โดยตรง | เช่น Booking.com, Agoda, Expedia ด้วย Channel Manager |
มีการอัปเดตระบบอัตโนมัติ | ไม่ต้องเสียเวลาหรือเสียเงินติดตั้งเวอร์ชันใหม่ |
ใช้งานง่าย | อินเทอร์เฟซทันสมัย ใช้งานง่ายแม้ไม่มีพื้นฐานไอที |
💡 ตัวอย่างระบบ PMS ยุคนี้
- Polystay PMS ✅ (ตัวอย่างที่เราจะแนะนำโดยละเอียดในบทความ)
- Cloudbeds
- Mews
- Little Hotelier
- RoomRaccoon
- HotelRunner
- STAAH
ระบบเหล่านี้เน้นการให้บริการแบบ SaaS (Software as a Service) คือจ่ายรายเดือนหรือรายปี ใช้งานได้ทันที
✅ ข้อดีของ Cloud-based PMS
- เข้าถึงได้จากทุกที่ ทุกเวลา: ผู้จัดการสามารถเช็กการจองหรือสถานะห้องผ่านมือถือ ไม่ต้องอยู่หน้าเคาน์เตอร์
- ใช้งานได้หลายอุปกรณ์พร้อมกัน: มือถือ iPad พีซี ใช้งานได้พร้อมกันแบบไม่ชนกัน
- ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านฮาร์ดแวร์: ไม่ต้องซื้อเซิร์ฟเวอร์ ไม่ต้องติดตั้ง ไม่ต้องดูแลระบบเอง
- ข้อมูลปลอดภัย: สำรองข้อมูลอัตโนมัติ ป้องกันข้อมูลหายจากเครื่องเสียหรือถูกลบ
- อัปเดตระบบสม่ำเสมอ: ได้ใช้ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ทันที เช่น การเชื่อมกับ AI, ระบบ Check-in อัตโนมัติ
- เชื่อมต่อ OTA ได้โดยตรง: การจองจาก Booking, Agoda ถูกดึงเข้าระบบอัตโนมัติ ป้องกันการจองซ้ำ
- ทำงานเร็วกว่า Excel หรือระบบเดิมมาก: พนักงานไม่ต้องเสียเวลานั่งไล่ไฟล์ ใช้ค้นหาชื่อ-ห้องได้ทันที
- มีระบบวิเคราะห์ข้อมูล: เช่น จำนวนผู้เข้าพัก รายได้ สถิติประจำเดือน/ปี
❌ ข้อควรระวัง / สิ่งที่ต้องเตรียม
- ต้องมี อินเทอร์เน็ต ที่เสถียร เพราะระบบทำงานออนไลน์ 100%
- บางระบบอาจคิดค่าบริการรายเดือน ตามจำนวนห้องพักหรือฟีเจอร์ที่เลือกใช้
- ต้องเรียนรู้ระบบเล็กน้อยก่อนเริ่มใช้งานจริง (แต่ส่วนใหญ่มีคู่มือและทีมซัพพอร์ต)
📊 ข้อมูลอ้างอิง
- WebRezPro (2022): ระบุว่า Cloud PMS ช่วยให้โรงแรมขนาดเล็ก “ประหยัดต้นทุนได้ 30–60%” และ “ลดข้อผิดพลาดจากการจองซ้ำได้เกือบ 100%”
- Apaleo (2025): โรงแรมที่เปลี่ยนจาก Excel ไปใช้ Cloud PMS “สามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น 3 เท่า”
- InnRoad (2023): บอกว่าการมีระบบ PMS ที่เข้าถึงได้ผ่านมือถือ “เปลี่ยนเกม” สำหรับโรงแรม SME เพราะช่วยให้เจ้าของสามารถควบคุมทุกอย่างจากที่ไหนก็ได้
🌐 Polystay PMS – ตัวอย่างระบบยุคใหม่ที่ตอบโจทย์จริง
Polystay เป็นระบบบริหารโรงแรมแบบ Cloud ที่ถูกออกแบบโดยคนในอุตสาหกรรม เพื่อรองรับโรงแรมและรีสอร์ทในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม SME และผู้ประกอบการที่ต้องการระบบที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน และ “ทำงานได้จากมือถือ”
จุดเด่นของ Polystay
- ✅ ปฏิทินจองห้องแบบลากวางได้ (Drag-and-drop)
- ✅ รองรับหลายภาษา / หลายโรงแรมในระบบเดียว
- ✅ ตรวจสอบห้องว่างได้แบบเรียลไทม์
- ✅ ส่งลิงก์ให้ลูกค้าจองและชำระเงินได้ทันที
- ✅ ดูรายงาน, พิมพ์ใบเสร็จ, สลิป, เอกสาร PDF ได้จากมือถือ
- ✅ มีระบบ AI ช่วยเตือนงาน เช่น เช็คอินวันนี้, ห้องไหนยังไม่ได้ทำความสะอาด
Polystay ถูกใช้โดยโรงแรมมากกว่า 50 แห่งในประเทศไทย และกำลังขยายเข้าสู่ตลาดอาเซียน
🧩 บทสรุปของยุคที่ 4
ยุคที่ 4 คือ “ยุคทองของระบบบริหารห้องพัก” เพราะ:
- ใช้งานง่าย เข้าถึงจากทุกที่
- ลดความผิดพลาด
- ลดต้นทุน
- เพิ่มยอดขายผ่าน OTA และการจองตรง
- ปรับตัวได้ไวกับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม
หากโรงแรมของคุณยังใช้ระบบสมุด หรือ Excel หรือระบบติดตั้งในเครื่อง การอัปเกรดเข้าสู่ PMS บน Cloud ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่คือ กลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดและการเติบโต
โรงแรมที่ปรับตัวทัน คือโรงแรมที่ได้เปรียบในทุกมิติ
⏩ ยุคที่ 4 ไม่ใช่อนาคต — มันคือ “ปัจจุบัน” ที่ทุกโรงแรมควรเข้าสู่โดยเร็ว
🔚 สรุปภาพรวมทั้ง 4 ยุคของระบบจองห้องพัก
ยุค | ลักษณะเด่น | ข้อดี | ข้อจำกัด |
---|---|---|---|
ยุคที่ 1จดสมุด | ใช้สมุด/ปากกาเขียนชื่อผู้จอง | ง่าย ประหยัด เหมาะกับโรงแรมเล็ก | เสี่ยงจองซ้ำ ข้อมูลสูญหาย ใช้งานร่วมกันไม่ได้ |
ยุคที่ 2Excel | ใช้ไฟล์ Excel บันทึกการจอง | ค้นหาได้ง่าย ใช้ฟังก์ชันช่วยคำนวณ | ไม่มีระบบกันจองซ้ำ ใช้งานหลายคนไม่ได้ เชื่อม OTA ไม่ได้ |
ยุคที่ 3PMS ติดตั้งในเครื่อง | ระบบจองผ่านซอฟต์แวร์ติดตั้งในคอม | รายงานแม่นยำ กันจองซ้ำได้ ใช้งานหลายคนได้ | ต้นทุนสูง เครื่องเสียเข้าไม่ได้ อัปเดตยาก |
ยุคที่ 4Cloud + มือถือ | ระบบจองออนไลน์ผ่านมือถือ แท็บเล็ต Cloud | เข้าถึงได้ทุกที่ อัปเดตเรียลไทม์ เชื่อมต่อ OTA ได้ ปลอดภัย | ต้องมีอินเทอร์เน็ต ต้องเรียนรู้ระบบใหม่เล็กน้อย |
🎯 ข้อเสนอแนะ: ทำไมทุกโรงแรมควรก้าวสู่ “ยุคที่ 4”
- ✅ ลดต้นทุนในระยะยาว – ไม่ต้องซื้อเครื่อง ไม่ต้องจ้างช่าง IT
- ✅ ลดความผิดพลาด – ไม่มีจองซ้ำ ข้อมูลไม่หาย สำรองอัตโนมัติ
- ✅ เพิ่มรายได้ – เชื่อมกับ OTA ได้ทันที เช่น Booking, Agoda, Expedia
- ✅ ควบคุมได้ทุกที่ – อยู่บ้าน อยู่ต่างจังหวัด อยู่ต่างประเทศ ก็เห็นข้อมูลโรงแรม
- ✅ ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า – เช็กอินเร็ว ส่งสลิปไว ตอบคำถามทันที
- ✅ แข่งขันกับโรงแรมใหญ่ได้ – แม้จะเป็น SME แต่มีระบบแบบมืออาชีพ
📌 หากโรงแรมของคุณยังใช้สมุด Excel หรือระบบเก่า
การเปลี่ยนมาใช้ระบบแบบ Polystay PMS หรือ PMS Cloud คือกุญแจสู่ความอยู่รอด และการเติบโตในระยะยาว
“เปลี่ยนโรงแรมของคุณให้ทันสมัยด้วย Polystay PMS — ระบบจองห้องพักผ่านมือถือ พร้อมฟีเจอร์จัดการปฏิทิน เอกสาร และรายงานแบบเรียลไทม์ 👉 ทดลองใช้งานฟรีที่นี่”